"คือตอนนั้นมันเป็นช่วงโควิด เรานั่งอยู่กับตัวเอง ได้คิดว่าสุดท้ายแล้วเรามีอะไรบ้างที่อยากทำ มีอะไรบ้างที่เรายังขาดอยู่ตอนนี้
รู้สึกว่าคือเราเป็นคนชอบร้องเพลง วันหนึ่งเราอยู่ในเวทีคอนเสิร์ต แล้วแฟนคลับเต็มไปหมด ทุกคนร้องเพลงเราได้ เราแค่ยืนถือไมค์แล้วเราไม่ได้ทำอะไรเลย แต่ทุกคนร้องเพลงให้เรา
มันคงเป็นฟีลลิ่งที่ดีมาก ผมเลยนึกถึงบรรยากาศตอนนั้น ถ้าเราเป็นนักร้อง เราเป็นศิลปินเราจะทำเพลง ก็เลยคิดว่าถ้าจะทำเพลง ทำเพลงอะไรดี พอได้ไอเดียมาเราก็ไปบอกพี่เขาว่า พี่ผมอยากทำประมาณนี้ มีเวลาเตรียมตัวทั้งโปรเจกต์ประมาณ 3 เดือนครับผม"
"พอกระแสตอบรับดี โห หายเหนื่อยเลยครับ (ยิ้ม) ยิ่งทำให้เรารู้สึกว่าอยากมีซิงเกิลต่อไปเร็วๆ ก็มีไอเดียทำซิงเกิลต่อไปกับพี่โปรดิวเซอร์แล้ว จริงๆ ก็คุยกับพี่โปรดิวเซอร์แล้วแหละ ว่าทั้งอัลบั้มเราจะมีเพลงเป็นแนวไหนบ้าง เราจะปล่อยประมาณน่าจะควอเตอร์แรกปีหน้าครับ ก็จะได้อัลบั้มเต็ม แต่ตอนนี้เราจะใช้ระบบซิงเกิลก่อน ก็ที่คิดไว้อัลบั้มนี้น่าประมาณ 8-10 เพลงครับ"
มิว ศุภษศิษฏ์ ว่าที่ดอกเตอร์จากวิศวะ จุฬาฯ
"ตอนนี้เรียนปริญญาเอกอยู่ครับ คณะวิศวกรรมอุตสาหการ ที่จุฬาฯ ครับ ตั้งแต่ ตรี โท เรียนวิศวกรรมอุตสาหการมาหมดเลย ตอนนี้ปริญญาเอกที่เรียนอยู่เหลืออีกเยอะมากๆ ครับ เพราะว่า ป.เอกจะเน้นวิธีการทำวิจัย
ตอนนี้เพิ่งจบปีแรกไป คืออาจารย์เขาเข้าใจว่าเราว่าไม่ค่อยมีเวลาก็เลยให้ไปอ่านเปเปอร์แล้วค่อยมารีวิวกับอาจารย์เรื่อยๆ ก็ได้ เพราะว่า ปริญญาเอก จะต้องใช้องค์ความรู้ใหม่ในการตีพิมพ์กับธีสิส เราก็ต้องไปรีเสิร์ชเลยว่าทำอะไรมาบ้างแล้ว แล้วที่เราจะทำเป็นความรู้ใหม่จริงรึเปล่า เราต้องไปนั่งดูเลยนะว่าแต่ละคนพัฒนาอะไรไปแล้วบ้าง เราต้องไม่ซ้ำกับคนอื่น แต่ถ้าถามว่าอีกกี่ปีจะจบ"
"ผมทั้งเรียนทั้งทำงานมาตั้งแต่ตอนปริญญาโทตอนนั้นตอนส่งธีสิสคือตอนที่กำลังถ่ายซีซั่น 1 หนักมากตอนนั้น โอ้โห แล้วเป็นซีรีส์เรื่องแรกที่เราเป็นพระเอกด้วย มีซีนเยอะมากๆ และเราต้องเตรียมสอบธีสิสด้วย ก็ต้องแบ่งเวลาดีๆ"
จบเกียรตินิยมเหรียญทอง ตอนปริญญาตรี
เมื่อถามถึงเรื่องเรียน มิว มีความยิ้มเขินๆ ก่อนตอบ "ตอน ป.ตรี ผมเรียน ม.เกษตรฯ จบได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่งเหรียญทองของภาค (ยิ้ม) ที่ 1 ครับ ป.โท จบมาด้วยเกรด 3.8 กว่า คือด้วยความที่ผมชอบทำอะไรหลายอย่างมาก เราไม่จมอยู่อย่างเดียว ผมอินด้านดนตรีด้วย ด้านศิลปะด้วย แต่ผมเรียนให้ที่บ้านด้วย ตอนนั้นมีให้เลือก 2 อย่าง มีหมอกับวิศวะ (หัวเราะ)
ตอนนั้นเราอยากเรียนนิเทศศาสตร์ เอ้า นิเทศฯ ก็ไม่ได้ งั้นสถาปัตย์แล้วกัน สถาปัตย์ก็ไม่ให้ (ยิ้ม) ให้แค่หมอกับวิศวะ ถ้าหมอก็เรียน 6 ปี จบมาก็ทำอะไรไม่ได้ด้วย ต้องเป็นหมอ งั้นวิศวะแล้วกัน อะแดปเป็นอย่างอื่นได้ แต่ตอนนี้เรียนวิศวะยาวกว่าหมออีก เรียนมา 7 ปีแล้ว (หัวเราะ) คือตอนปริญญาตรี ผมเรียนที่ ม.เกษตรฯ ผมอยู่สาธิตเกษตร มาตั้งแต่ ม.1- ม.6 แล้วก็มาเรียนที่จุฬาฯ ตอน ป.โท กับ ป.เอก ครับ (ยิ้ม)"
"ถ้าผมไม่ได้เป็นนักแสดง ก็อยากจะเป็นอาจารย์หรือเป็นที่ปรึกษา แล้วก็นักธุรกิจเลย คือเอาตรงๆ ที่เรียนวิศวะมาคือ ต้องการตอบแทนที่บ้าน เขาอยากให้เราเรียน มันไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรง เราก็ทำให้เขาได้
ผมชอบการคำนวณอยู่แล้ว เลยไม่ได้ติดอะไรกับการเรียนวิศวะ คือผมมีโอกาสได้ลองเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาตอนอยู่ ปริญญาโท ครับ ได้ไปสอนนิสิตปี 2 วิศวะ จุฬาฯ ก็สนุกดี รู้สึกว่าเด็กๆ เขาตั้งใจเรียน มีอะไรก็ปรึกษาตลอด
ช่วงนี้ก็มีคนติดต่อมาเป็นอาจารย์พิเศษก็มี อย่างล่าสุดก็ไป มศว มา เป็นรับเชิญให้เขา เราก็ไปเล่าแชร์ประสบการณ์วางแพลนความคิดให้เขา ก็สนุกดีเหมือนกัน"
ผมเป็นคนเนิร์ด เรียนสุด เล่นสุด ทำงานสุด
"ตัวผมนะเอาอย่างนี้ดีกว่า เรียกว่า เนิร์ด ก็ได้เป็นคนแบบจริงจัง ผมว่าเวลาเราเป็นคนอินกับอะไรมากๆ เวลาเรียน เวลาเล่นผมก็เล่นสุดโต่ง เรียนก็สุดจริงๆ ทำงานก็สุดจริงๆ"
"ผมทำอะไรผมมีแพลนชีวิต เพราะว่าตอนนี้ถ้าไม่มีไม่ได้ เพราะตารางงานเราแน่นมากๆ ไม่มีอะไรยากที่เราจะต้องทำ ถ้าเราหลุดจากแพลนไป มีแพลนให้เรารู้ว่าเป้าหมายของงานแต่ละอย่างเราต้องทำยังไง จัดการเวลายังไง"
"ผมทำงานทุกวันมาจะ 3 เดือนแล้วครับ ช่วงโควิดโชคดีมากที่มันมีงานอีเวนทต์ถูกปรับเป็นไลฟ์ ก็ไลฟ์เรื่อยๆ ครับ แต่ก็ยังได้พักบ้าง ได้อยู่กับตัวเอง พักผ่อนครับ"
เดินแคสต์หางานเอง แต่ไม่เคยได้
TharnType The Series เปลี่ยนชีวิต
เมื่อถามถึงเรื่องการเข้ามาทำงานในวงการบันเทิง มิว บอกกับเราว่า "ประมาณ ม.6 ครับ อายุ 18 ปี จนถึงตอนนี้ผมอายุ 29 แล้ว ก็อยู่ในวงการนี้มาประมาณ 11 ปีครับ ในช่วงนั้นก็มีไปเรียนแอ็กติ้งมาด้วย คือตอนแรกเรามาจากโฆษณา เอ็มวี แล้วเราแคสต์โฆษณาก็ไม่เคยผ่านเลย จนตัดสินใจไปเรียนการแสดงเพิ่มเติม"
"ตอนนั้นที่ไปแคสต์งานแสดง เคยไปแคสต์มา 10 งานแต่ได้ 1 งาน ไปแคสต์ 20 งาน ได้ 1 งานก็มีครับผม มันเยอะมากๆ จนเรารู้สึกว่าไม่ค่อยได้ เสียเวลาก็เสียเวลานะ พอจะไปแคสต์โฆษณาก็ไปที คนก็เยอะ บางทีไปทั้งวันเลยอะ แคสต์ได้ตัวเดียวก็มี แล้วบางทีก็ไม่ได้ด้วย ไปนั่งรอทั้งวัน มันเสียเวลาชีวิตมาก
เลยกลับมานั่งคิดว่า มันเกิดอะไรขึ้น สุดท้ายก็มานั่งย้อนดูตัวเอง ผมคิดว่าเราไม่ได้เล่นเก่ง ถ้าเราจะเป็นนักแสดงเราต้องแอ็กติ้งดี ต้องมีความสามารถทางด้านการแสดง ก็เลยไปลงเรียนเองครับ ใช้เวลาเรียนเป็นปีเกือบสองปีได้"
"ช่วงที่วิ่งหาแคสต์งานน่าจะประมาณ 2-3 ปี ช่วงนั้นคือเรียนไปด้วย ถ้าช่วงปิดเทอมก็ไปเยอะๆ หน่อย ถ้าช่วงปิดเทอมถ้าเหนื่อยๆ ก็ไม่ไป ซึ่งในเวลา 2-3 ปีนั้นน่าจะได้งานมาประมาณ 10 งานคือน้อยๆ มากๆ มันเป็นเพราะเรื่องการแสดงนี่แหละ
ถ้าอยากเป็นนักแสดงก็ต้องทำการแสดงให้ดีสิ ก็เลยต้องไปลงเรียนเองเลย ไปเรียนน่าจะประมาณปีนึงครับผม พอออกมาแคสต์พวกซีรีส์ก็ได้หมดเลย ระหว่างนั้นก็เรียนเพิ่ม นี่ก็เรียนเพิ่มอยู่เพิ่งจบคอร์สไป ถึงเราจะเป็นนักแสดงเราก็ต้องพยายามหาอะไรมาเพิ่ม"
"เคยเล่นละครเรื่องแรกเป็นตัวประกอบครับเห็นหน้าในฉาก 30 วินาที พอเรื่องที่สองเป็นพระรอง และเรื่องที่สาม TharnType ได้มาเป็นพระเอกเรื่องนี้ครับ คือที่ผ่านมาผมผ่านการทำงานมาหลายรูปแบบมาก (ยิ้ม) แต่เพิ่งมาดังเมื่อประมาณปีสองปีนี้เอง เพิ่งมามีแฟนคลับเยอะๆ เมื่อปีสองปีมานี้เองครับพี่"
จากนั้น มิว ก็เล่าต่อว่า "ช่วงแรกๆ ที่เข้ามาในวงการบันเทิง เรายังไม่เป็นที่รู้จักกันมาก คือเราไม่ได้เจอใครที่แบบพร้อมจะช่วยเรา เราก็อยู่แบบต้องระวังด้วยตัวเอง รู้สึกเราผ่านอะไรมาด้วยตัวเอง เราต้องพัฒนาด้วยตัวเอง สกิลต่างๆ มันพัฒนามาจากตัวผมเองหมด
รู้สึกว่าทำไมการเข้ามาอยู่ตรงนี้เราไม่ช่วยเหลือกัน ผมก็เลยลองตรงนี้กับ กลัฟ ดู โดยการช่วยเหลือน้องเต็มที่ ผมแค่รู้สึกว่าเราเจอเรื่องร้ายๆ มา เลยไม่อยากให้น้องเจอเหมือนที่เราเจอ เลยพร้อมซัพพอร์ตน้องเขาทุกอย่าง สอนเรื่องการแสดง สอนทุกอย่าง คอยแบบปกป้องเขาอะ ไม่อยากให้รู้สึกว่าการอยู่ตรงนี้มันไม่สนุกนะ"
"และเราก็ได้อะไรจากตรงนี้เยอะมาก ได้ประสบการณ์เยอะ ได้เจอคนหลายๆ แบบด้วย การที่เราเป็นคนแบบนี้มันทำให้เราได้เจอคนหลายๆ แบบด้วย เราต้องดูว่าแต่ละคนเป็นยังไง การระวังตัวเอง การให้ความรักคนอื่นมันเป็นยังไง
เราผ่านงานสายการแสดงมา มันทำให้เจอคนหลายแบบมากจริงๆ แล้วก็ได้เจอความล้มเหลวมาเยอะ มันทำให้รู้ว่าสิ่งต่างๆ มีค่ามากขนาดไหน เพราะถ้าเราไม่ล้มเหลวตอนนั้นอาจจะไม่เป็นอย่างนี้ก็ได้นะ"
#มิวกลัฟ โด่งดังระดับเอเชีย
"ในวันที่เราต้องมาเล่นซีรีส์กับผู้ชายด้วยกัน ผมรู้สึกว่าเวลาเราแสดงมันคือคาแรกเตอร์ ความเขินมันเกิดขึ้นตามซีน ถ้าซีนมันต้องเขิน เราก็ต้องเขิน โกรธก็คือโกรธ เสียใจก็คือเสียใจ การแสดงออกมันมาจากคาแรกเตอร์ของตัวละครครับ มันผ่านการเวิร์กช็อปมาแล้ว"
"ถามว่าเขินมั้ย ผมก็ไม่รู้ว่าเขินมั้ย ใช้คำว่า ทำตัวไม่ถูกแล้วกัน ผมกับกลัฟจะต่างกัน กลัฟจะเป็นคนที่มีกำแพงของเขา เขาเป็นเด็กที่เหมือนได้รับการประคบประหงมมา เลยมีกำแพงสูง (หัวเราะ)
ของกลัฟจะเป็นคนที่มีกำแพงสูง และคนที่มีกำแพงสูงเราจะไม่ไปทำลายกำแพงเขา เขาจะตกใจ แต่สิ่งที่ผมทำคือค่อยๆ หยิบเอาอิฐออกทีละก้อน จนเขาไม่มีกำแพง ก็เลยใช้การแบบค่อยๆ ทำความรู้จักกัน ไม่ได้เข้าไปเลย (นานมั้ย?) นาน กว่าจะเริ่มสนิทกันก็เข้าประมาณเดือนที่ 3-4 แล้ว"
"ส่วนตัวผมจะเป็นคนที่จะเปิดก่อน แต่ว่าจะมีกำแพงทีหลัง ดูจากพฤติกรรมของคน (หัวเราะ)"
ผู้ชายอบอุ่น พี่ชายที่อยากปกป้องน้อง
จากการนั่งพูดคุยกับ มิว เราเองรู้สึกได้ว่า มิว เป็นดูเป็นผู้ชายอบอุ่น จากด้วยน้ำเสียงการคุยที่อ่อนโยน และตั้งใจฟัง ตั้งใจตอบ ซึ่ง มิว ก็บอกว่า "ตัวผมจริงๆ ก็เป็นแบบนี้ครับ แบบที่คุยกับพี่ ผมเป็นคนที่ชอบฟัง ชอบถาม ชอบเล่าเรื่อง การทำอะไรก็จะเป็นคนที่จริงจัง อยากให้ดีที่สุด อยากเต็มที่ ใส่ทุกอย่างในตัวเราไป หรือบางทีใส่เกินด้วย ถ้าไม่ทำแบบนี้เราไม่พัฒนาหรอก"
"ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็นฟีลแบบพี่ชายคนโตมั้ย (หัวเราะ) ผมรู้สึกว่าดีใจนะ ถ้ากลัฟเขาประสบความสำเร็จในทางของเขาเอง ผมคิดว่าผมให้เขาเต็มที่นะ เพราะผมสอนเขาเต็มที่แล้ว"
ถ้าวันไหนไม่มี กลัฟ วันนั้นก็คงรู้สึกโหวงๆ
"ถ้าวันไหนที่ไม่มี กลัฟ ถึงจุดนั้นคงโหวงๆ ครับผม เราโตมาถึงจุดนี้ด้วยกัน โอ๊ย จะร้องไห้มั้ยเนี่ย คือตอนแรกซีซั่น 1 เราไม่รู้สึกอะไรหรอก เพราะเรารู้อยู่แล้วว่ามันจะมีซีซั่น 2 ต่อ แต่พอจบอันนี้เรารู้แล้วว่ามันเป็นไฟนอลลี่แล้ว เราต้องแยกกันไปทำงานของแต่ละคน
เขาเรียกว่ามีทางการทำงานที่ต่างกัน มีแพลนการทำงานของแต่ละคนอยู่แล้ว ก็ต้องแยกเป็นมิว เป็นกลัฟ แต่อาจจะมีโอกาสได้ทำงานด้วยกันเรื่อยๆ ความรู้สึกก็คงโหวงๆ คือเราถนัดไม่เหมือนกัน มีงานถนัดของแต่ละคนรออยู่
แต่ผมรู้สึกว่า เดี๋ยวก็คงมีงานคู่ด้วยกันแหละ หรือว่าอาจจะได้กลับมาเล่นด้วยกันอีก แต่ไม่รู้จะใช้เวลานานเท่าไรก็ยังไม่รู้ ก็ต้องรอดูครับว่ายังไง แต่ว่าพอหลังจากนี้อาจจะเป็นมิว เป็นกลัฟ ก็โหวงๆ อยู่นะ”
"ผมรู้สึกว่า มันอยู่ที่ว่าทางของแต่ละคนเป็นยังไง เราไม่สามารถสร้างสรรค์ผลงานเดิมๆ มาได้ตลอดหรอก คนดูก็เบื่อ ตัวเราเองก็เบื่อ เราอยากสร้างสรรค์ผลงานให้มันดีกว่าเมื่อก่อน ความเป็นนักแสดงแหละเราอยากลองเล่นหลายๆ บทบาท
เราไม่อยากเล่นบท TharnType ไปเรื่อยๆ 10 ซีซั่น มันก็ไม่ได้ เราอยากสร้างสรรค์ผลงานที่ตื่นตาตื่นใจ ไปในเวย์อื่นๆ ไม่ใช่แค่ผมหรอกครับ ของ กลัฟ ก็ด้วย แต่เราโชคดีที่ไม่ว่าเราจะทำอะไร สร้างสรรค์ผลงานอะไร ก็ยังมีแฟนคลับคอยซัพพอร์ตตลอด ไม่ว่าจะเดี่ยวหรือคู่ ขอบคุณแฟนๆ มากๆ"
ตลอด 11 ปี ขอบคุณตัวเองทุกวันที่ไม่เคยท้อ
"ตอนนี้รู้สึกดีใจมากครับ สิ่งที่เราทำมาไม่เสียเปล่าแล้ว มันเลยทำให้ผมรักแฟนๆ มากๆ เพราะว่าเขาเป็นคนที่ตอนนี้เขาอยู่ข้างๆ ผมไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น มันยิ่งทำให้ผมอยากทำผลงานให้ดีขึ้นกว่าเดิม"
"ก็ขอบคุณตัวเองอยู่ทุกวัน ก่อนนอนผมจะบอกขอบคุณตัวเอง ขอบคุณที่เต็มที่ในวันนี้ ขอบคุณที่ตั้งใจทำงาน และขอบคุณที่ยังสู้อยู่ ขอบคุณตัวเองในทุกวัน"
"ก็คิดว่าจะทำไปเรื่อยๆ มันมีอะไรหลายๆ อย่างที่ยังไม่เคยทำเลย ก็อยากจะทำ ไฟนอลลี่แล้วอาจจะเป็นผู้จัดก็ได้นะ เพราะนี่ก็คิดโปรเจกต์แล้วว่าวันหนึ่งอาจจะเป็นผู้จัด ก็คิดๆ ไว้แล้วว่าถ้าวันหนึ่งเราเป็นผู้จัด เราจะทำเรื่องอะไร นี่ก็คิดอยู่แต่ว่าแผนอาจจะอีกหลายปี เป็นแผนที่วางต่อไว้
เพราะมันยังมีจุดอื่นๆ ที่เราสามารถพัฒนาไปได้ แล้วตอนนี้ก็มีแพลนเต็มไปหมดเลยที่อยากทำในอนาคต และที่กำลังจะเริ่มทำด้วยเต็มไปหมดเลยครับ ผมว่า มันยังไม่เป็นจุดสูงสุดของชีวิตครับ มันสามารถยังไปอีกต่อได้อีก".
ผู้เขียน : โอ้ว...ซาร่า
ช่างภาพ : ชุติมน เมืองสุวรรณ
กราฟิก : Taechita Vijitgrittapong
August 19, 2020 at 07:30AM
https://ift.tt/2YglXzI
เปิดชีวิต มิว ศุภศิษฏ์ 11 ปีไม่ท้อ ผ่านเรื่องร้ายที่ไม่อยากให้ กลัฟ เจอ - ไทยรัฐ
https://ift.tt/2A7KyxY
Bagikan Berita Ini
0 Response to "เปิดชีวิต มิว ศุภศิษฏ์ 11 ปีไม่ท้อ ผ่านเรื่องร้ายที่ไม่อยากให้ กลัฟ เจอ - ไทยรัฐ"
Post a Comment